คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน
โดย วินิทรา นวลละออง
สัปดาห์ที่แล้วเล่าค้างถึงคำว่า Otaku (โอตาคุ) ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนซึ่งบริโภควัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการ์ตูน, แอนิเมชั่น, และบรรดาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการ์ตูน ไม่ใช่แค่ซื้ออ่านแล้วผ่านไปนะคะ โอตาคุต้องชอบมากถึงขนาดเป็นเจ้าของสินค้าเหล่านี้ด้วย (ไม่ใช่แค่เช่าการ์ตูนอ่านแก้เครียดอย่างเดียว) และอาจมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่สามารถคุยเรื่องเกี่ยวกับการ์ตูนได้ ของสะสมส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการ์ตูนล้วนๆ ค่ะ
ดูแล้วกลุ่มคนเหล่านี้น่าจะน่ารักและเต็มไปด้วยจินตนาการ แต่วงการโอตาคุก็ถูกสาดโคลนจนมัวหมองเมื่อฆาตกรต่อเนื่อง "มิยาซากิ สึโตมุ" ถูกจับในปี 1989 เขาข่มขืนเด็ก 4 คน และกินชิ้นส่วนของศพด้วย เมื่อตำรวจค้นบ้านปรากฏว่าเจอหนังสือการ์ตูนและวิดีโอเทปที่เขาบันทึกภาพเหยื่อกองสุมอยู่ถึงเพดาน! นั่นคือจุดเปลี่ยนที่คนในสังคมญี่ปุ่นตั้งแต่นักการเมือง นักข่าว หรือแม้แต่คนทั่วไปคิดว่า "โอตาคุ" คือกลุ่มคนอันตราย ความที่บุคลิกของโอตาคุเองมักเป็นคนเก็บตัว พูดน้อย ใช้เวลาอยู่กับจินตนาการและการ์ตูนมากกว่าออกไปพบปะผู้คนและไม่ค่อยมีทักษะในการคุยกับคนมากนักเมื่อเทียบกับทักษะการเขียน (เพราะมักติดต่อเพื่อนผ่านอินเตอร์เน็ตมากกว่าเจอตัวเป็นๆ) จึงยิ่งตอกย้ำให้คนทั่วไปคิดว่าโอตาคุคือ "คนผิดปกติ" ที่หมกมุ่นอยู่แต่โลกของจินตนาการเรื่องเพศและความรุนแรง
โดยสรุปคือคนคิดว่าในเมื่อฆาตกรที่อาจจะป่วยเป็นโรคจิตคนหนึ่งเป็นโอตาคุ ดังนั้น โอตาคุทุกคนมีโอกาสเป็นโรคจิตและเป็นฆาตกรได้ซึ่งตรรกะนี้ไม่ถูกต้องนะคะ เหล่าโอตาคุซึ่งทำตัวแตกต่างจากคนทั่วไปถูกกีดกันออกจากสังคมและตราหน้าว่าเป็นคนผิดปกติอย่างง่ายดายจากการเหมารวมนี้ อย่างไรก็ตาม โอตาคุระดับ High function หรือคนที่มีวุฒิภาวะสูงก็ไม่ได้อยากออกมาตีโพยตีพายว่าตัวเองเป็นคนปกติ เพราะคนกลุ่มนี้พอใจกับการคบเพื่อนที่รู้ใจกันเพียงไม่กี่คนและอยู่ในสังคมที่ทุกคนรักชอบสิ่งเดียวกันอย่างจริงใจมากกว่า ดังนั้น ภาพพจน์ทางลบของโอตาคุจึงไม่ได้รับการแก้ไขมาจนถึงปัจจุบันนี้และคงหมดหนทางจะแก้เสียแล้วค่ะ
"มุราคามิ ทาคาชิ" ศิลปินที่ประสบความสำเร็จในอเมริกาและผู้นิยามศิลปะแนว Superflat เป็นคนแรกก็ถูกมองว่าเป็น "โอตาคุ" เช่นกัน สารภาพว่าเห็นงานของเขาชื่อ "My Lonesome Cowboy" ซึ่งเหมือนฟิกเกอร์การ์ตูนสูงเท่าคนจริงกำลังควงบ่วงบาศสีขาวที่เกิดจาก...แฮ่ม...หาภาพเต็มๆ ในอินเตอร์เน็ตแล้วกันนะคะเพราะหวาดเสียวค่ะ ดูแล้วก็คิดว่ายังไงมุราคามิเป็นโอตาคุแน่นอนเพราะผลงานของเขาเปล่งประกายจิตวิญญาณของคนชอบแอนิเมชั่นออกมาแรงกล้าขนาดนั้น แต่มุราคามิกลับประกาศว่าเขาไม่ใช่โอตาคุ (เขาเป็นอาร์ตติสต่างหาก) งานนี้เลยทำให้เหล่าโอตาคุรุ่นเก๋าซึ่งปัจจุบันเป็นนักเขียนการ์ตูนที่ทรงอิทธิพลในญี่ปุ่นออกมาประณามกันใหญ่ค่ะ ทำนองว่างานของเขารับอิทธิพลจากวัฒนธรรมการ์ตูนไปเต็มๆ ขนาดนั้นแถมเอาแรงบันดาลใจจากการ์ตูนไปหากินอย่างงี้ยังมาบอกว่าตัวเองไม่ใช่โอตาคุอีกนะ
เรื่องหลังจากนั้นเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบค่ะ แต่ที่แน่ๆ งานปั้น My Lonesome Cowboy เหมือนฟิกเกอร์การ์ตูนขนาดเท่าคนจริงซึ่งคาดว่าจะมีคนประมูลไปด้วยราคา 3-4 ล้านดอลลาร์กลับขายไปในราคา 15.1 ล้านดอลลาร์ค่ะ! โอย...จะเป็นลม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลงานที่ติดตามากๆ เลยค่ะ มันทั้งน่ารัก ทั้งดาร์ค ทั้งก้าวร้าวและมีสาระในความไม่มีสาระของชิ้นงานจริงๆ
อย่างไรก็ตาม คนซื้อไปน่าจะได้กำไรมากกว่านี้อีกหลายเท่าเพราะกระเป๋าแฟชั่นของฝรั่งเศสที่เราคุ้นเคยกันดี "Louis Vuitton" ให้มุราคามิออกแบบคอลเลคชั่น Multicolor สีสันแสบทรวงที่มองแวบแรกนึกว่าใครเอาสติ๊กเกอร์ลายการ์ตูนมาติดบนกระเป๋าหลุยส์ นั่นล่ะค่ะ Superflat! คือมองแล้วรู้สึกว่า "เหมือนการ์ตูน" นั่นเอง
งวดหน้าต่ออีกนิดเรื่องศิลปินที่โด่งดังจากความเป็นโอตาคุแม้จะบอกว่าตัวเองไม่ใช่โอตาคุคนนี้อีกหน่อยค่ะ
วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11432 มติชนรายวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น