22 มิถุนายน 2551

Gundam SEED Destinyแด่กันดั้มด้วยน้ำตา


คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน
โดย วินิทรา นวลละออง

สำหรับท่านที่เป็นแฟนเหนียวแน่นของจักรวาลกันดั้ม คงพอทราบถึงกิตติศัพท์ของภาค SEED Destiny มาอย่างท่วมจนแทบไม่ต้องบรรยายแล้ว แต่หากท่านใดไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ แค่ติดใจภาค SEED และคิดว่าภาค SEED Destiny น่าจะอลังการพอฟัดพอเหวี่ยงกับภาคแรก ต้องขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ

ภาค SEED Destiny นั้นมีหุ่นอลังการเพิ่มขึ้นอีกจมเลย แต่หากท่านใดต้องการดูเนื้อเรื่อง พัฒนาการของตัวละคร หรือแม้แต่ฉากใหม่ๆ ที่น่าจะแจ่มกว่าเดิม คงต้องเอาเชือกผูกมือไว้ป้องกันการเผลอเขวี้ยงแผ่นทิ้งค่ะ เท้าความสักนิดสำหรับผู้ที่จำไม่ค่อยได้

ในภาค SEED การสู้รบสามเส้าระหว่างซาฟท์ สหพันธ์โลก และออร์บสิ้นสุดลงโดยที่ทุกฝ่ายสงบศึกปรองดองกันในที่สุด ซึ่งภาค SEED นั้น ซาฟท์ถูกวางไว้ฝั่งตรงข้ามกับพระเอกค่ะ (เรื่องนี้ไม่มีฝ่ายดีฝ่ายเลวนะคะ มีแต่ฝ่ายพระเอก กับคนละฝ่ายกับพระเอก) มาถึงภาค SEED Destiny ชนวนสงครามเกิดขึ้นจากซากโคโลนีอวกาศ "ยูนิอุส 7"ถูกมือดีบังคับให้ตกลงมายังโลก และออร์บซึ่งดำเนินนโยบายเป็นกลางมาตลอดกลับรับใต้โต๊ะจากพ่อค้าอาวุธของสหพันธ์โลก เรื่องนี้จึงมีการเมืองเกี่ยวข้องนิดหน่อยตรงที่เหล่าพ่อค้าอาวุธอยากให้เกิดสงครามจึงได้จุดชนวนขึ้นมาเพื่อให้ขายอาวุธได้เยอะๆ (ต่างกับพล็อตมาตรฐานที่การขโมยหุ่นเป็นตัวเปิดเรื่อง)

สงครามซึ่งแขวนอยู่บนผลประโยชน์ของเหล่าผู้ใหญ่ทำให้เกิดเด็กหนุ่มวีรบุรุษขึ้นคนหนึ่ง เขาคือ "ชิน อาซึกะ" ซึ่งถูกวางให้รับบทเด่นในภาคนี้ ชินเป็นเด็กหนุ่มที่โกรธแค้นทุกคนด้วยสาเหตุเดียวคือสงครามทำให้เขาต้องสูญเสียครอบครัว ดังนั้นถ้าศัตรูตายหมด สงครามก็จะยุติได้ เขาจึงเลือกเป็นนักบินกันดั้มของซาฟท์ซึ่งนำทัพโดยกิลเบิร์ท ดูแรนดอล ผู้นำที่ต้องการพาเหล่ามนุษย์ตัดต่อพันธุกรรม (โคออร์ดิเนเตอร์) ไปสู่โลกใหม่ที่ไร้สงคราม

ในช่วงต้นเรื่อง ทีมผู้สร้างพยายามนำเสนอมุมมองใหม่ๆ จากตัวละครใหม่ แต่ด้วยความไร้เหตุผล งี่เง่า เจ้าอารมณ์ ไม่รู้จักโต ฯลฯ ของชิน ทำให้ "อัสรัน" หนึ่งในพระเอกภาคเก่ามีบทโดดเด่นกว่า แนวทางสร้างสันติภาพในความคิดของอัสรันซึ่งดูมีมิตินั้นทำให้ช่วงสิบกว่าตอนแรกของเรื่องรอดพ้นจากการโยนแผ่นทิ้งไปได้ ต่อมา "คิระ" โคตรพระเอกไร้พ่ายได้ออกโรงอีกครั้ง จึงเรียกว่าแทบไม่มีที่ให้พระเอกใหม่อย่างชินได้ยืน ทีมผู้สร้างยังอุตส่าห์ปลุกผีตัวละครเก่าซึ่งน่าจะตายไปแล้วอย่างมูลาฟลาก้ามาช่วยฉุดให้เนื้อเรื่องน่าสนใจแต่สายไปแล้ว เรื่องนี้พล็อตเน่าสนิทไปเรียบร้อยตั้งแต่ตอนแรกๆ ค่ะ

มีการนำภาพจากตอนเก่ามาฉายวนซ้ำเยอะมากซึ่งทำให้แม้คนดูสัปดาห์ละครั้งก็ยังรำคาญ และเมื่อถึงตอนที่สี่สิบกว่าซึ่งเนื้อเรื่องแตกกระจายจนจับประเด็นอะไรไม่ได้แล้ว ฉันก็หยิบแผ่นขึ้นมาจะเขวี้ยงทิ้งด้วยความหงุดหงิดแล้วค่ะ...โชคดีที่เพื่อนห้ามทัน ไม่งั้นไม่มีเหลือ แม้สุดท้าย SEED Destiny จะตัดจบแบบรู้เรื่องว่าประธานกิลเบิร์ททำชั่วเช่นนี้เพื่ออะไร และพอจะทำใจได้แล้วว่าชินคงเป็นพระเอกแบบแอนตี้ฮีโร่ที่ถูกด่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์

แต่ความรู้สึกเมื่อตอนที่ 50 จบลงคือ "ว่างเปล่า" ค่ะ อาจจะมีฉากดราม่าที่จำติดตานิดหน่อยแต่ในภาพรวมถือว่าว่างเปล่าจนน่าใจหาย หากเทียบกับภาค SEED แล้ว SEED Destiny จัดว่าบทอ่อนมากๆ เนื้อเรื่องสับสน ไม่มีการนำเรื่องไปสู่ตอนจบ แต่ตัดจบเหมือนหมดซีซั่นพอดีไม่อย่างนั้นคงเผาต่อ เดาว่าอาจเขียนโครงเฉพาะต้นและท้ายเรื่องค่ะเพราะดูรู้เรื่องแค่นั้นจริงๆ

สำหรับแฟนภาค SEED การดูภาค SEED Destiny ต่อถือว่าจำเป็นค่ะเพราะเราจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครเอกภาคเดิมที่โตขึ้นนิดหน่อย แต่หากไม่เคยดู SEED มาก่อน การดู SEED Destiny ก็คงไม่ต่างอะไรจากการดูหุ่นสู้กันธรรมดา สวยสนุกตื่นเต้นแต่...ไม่ซึ้ง โดยรวม SEED Destiny ก็ไม่ได้จัดว่าเลวร้ายเท่าไร ข้อดีด้านภาพและดีไซน์มีไม่น้อยแต่ข้อเสียเป็นประเด็นที่เห็นชัดกว่าเท่านั้นเองค่ะ ดูจบแล้วอยากจะร้องไห้...เสียดายเงินนิดหน่อย ซื้อมา 50 ตอนเหมือนได้ดูแค่ครึ่งเดียว ที่เหลือถ้าไม่ฉายย้อนก็เผางาน คิดแล้วเศร้าหลาย จรลีไปดู Stargazer ต่อดีกว่าค่ะ

ชมGundam Seed Destiny StargazerจากYouTube

ไม่มีความคิดเห็น: