13 สิงหาคม 2552

Nasu มะเขือม่วงกับนักปั่นแข้งทอง (2)

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน
โดย วินิทรา นวลละออง

สัปดาห์ก่อนเล่าให้ฟังถึงงานแอนิเมชั่นเกี่ยวกับนักกีฬาจักรยานมืออาชีพที่เล่าผ่านมะเขือดองน้ำมันมะกอก วันนี้ "เปเป้" ตัวเอกของเรื่องมาแข่งเจแปนทัวร์พร้อมกับลิ้มรสมะเขือม่วงดองแบบญี่ปุ่นในภาคต่อของ Nasu (แปลว่ามะเขือม่วง) ชื่อตอน A Migratory Bird with Suitcase ซึ่งได้รับรางวัล Tokyo Anime Award สำหรับผลงานแบบ Original Video Category (จำหน่ายเป็น DVD โดยไม่ฉายโรงหรือทีวี) ในปี 2008 ที่ผ่านมา สิ่งที่หนังภาคต่อจะต้องโดนเสมอคือการ "เปรียบเทียบกับภาคแรก" และ Nasu ภาคต่อนี้ก็ทำได้ดีกว่าภาคแรกอย่างชัดเจนเลยค่ะ

เรื่องยังคงเล่าผ่าน "เปเป้" นักปั่นน่องเหล็กชาวสเปนสังกัดทีมเปาเปาเบียร์ของเบลเยียม ก่อนที่เขาและทีมจะเดินทางไปแข่งเจแปนทัวร์ ข่าวร้ายในวงการก็แพร่ไปทั่วเมื่อ "มาร์โก้" นักปั่นชาวอิตาลีซึ่งเป็นฮีโร่ของวงการฆ่าตัวตายด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด ความตายของเขานอกจากทำให้เปเป้และแฟนๆ ของมาร์โก้เสียใจมากแล้ว เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อนักกีฬาอีกสองคน คนหนึ่งคือ "ซานโคนี่" เพื่อนร่วมทีมของมาร์โก้ซึ่งเป็นมือหนึ่งในวงการเมื่อปีก่อน อีกคนหนึ่งคือ "จอจจี้" เพื่อนร่วมทีมของเปเป้ซึ่งเกิดเมืองเดียวกับมาร์โก้และเป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอด

จอจจี้บอกกับเปเป้ว่าเขาจะลาออกจากทีมในปีนี้เพื่อรับช่วงกิจการของครอบครัวเนื่องจากเขาไม่มี "ออร่า" ของผู้ชนะดังเช่นที่มาร์โก้หรือซานโคนี่มี พูดง่ายๆ คือแข่งต่อไปก็มีแต่จะเป็นได้แค่ไม้ประดับในทีม จอจจี้บอกว่า "ชีวิต" ควรจะเป็นการได้อยู่กับครอบครัว กินเท่าที่อยากกิน และเป็นหวัดก็กินยาแก้หวัดได้ แต่เป็นที่ทราบดีว่านักกีฬาน่องเหล็กต้องเดินสายแข่งขันทั่วโลกจนไม่มีเวลาอยู่บ้าน ต้องควบคุมน้ำหนักอย่างเคร่งครัดและห้ามกินยาแก้หวัดซึ่งตรวจพบได้ในการตรวจปัสสาวะหาสารกระตุ้น แต่เปเป้กลับคิดตรงข้าม เขาบอกว่าสิ่งที่เราทำคือการอดเปรี้ยวไว้กินหวานในวันข้างหน้า แม้คนอื่นจะมองว่าเขาอดทนสู้ความลำบากอย่างเต็มที่แต่เปเป้กลับคิดว่าเขาไม่ได้ลำบากอะไร

"ฉันมีดีแค่ที่ร่างกายเท่านั้นนี่นา"

เปเป้บอกเป็นนัยว่านี่คืองานที่ดีที่สุดที่เขาสามารถทำได้นั่นเอง การฝึกซ้อมอย่างหนักจึงไม่ใช่ความทุกข์สำหรับเขา วันที่ลงแข่งไม่ได้ต่างหากถึงจะเรียกว่าทุกข์อย่างแท้จริง

Nasu ภาคสองนี้นำเสนองานโปรดัคชั่นได้เทียบเท่า Ghibli ต้นสังกัดของผู้กำกับฯ "โคซากะ คิทาโร่" ผู้กำกับเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ มุมกล้องสวยๆ โผล่มาให้ตื่นเต้นเยอะมาก แต่ที่ดีขึ้นชัดเจนกว่าภาคแรกคือ "ความสมดุลของเนื้อเรื่อง" ซึ่งทำให้ดูสนุกจนแทบลุกจากที่นั่งไม่ได้เลยตลอดเรื่อง

ความสมดุลเกิดจากมุมมองชีวิตของคนสามคนหลังการจากไปของมาร์โก้ คนแรกคือ "ซานโคนี่" ที่เสียเพื่อนร่วมทีมและคู่แข่งที่ดีไปจนทำให้เขาเดินเข้าสู่ความมืดและค้นหาว่าเขาต่อสู้ทุกวันนี้เพื่ออะไรกันแน่ อะไรคือชัยชนะที่แท้จริงสำหรับเขา คนที่สองคือ "จอจจี้" ที่เคยแต่วิ่งตามแผ่นหลังของมาร์โก้มาตลอดและไม่รู้ว่าจะวิ่งตามใครต่อไปดี เขาเดินอยู่ในความมืดมาตลอดแต่บางอย่างทำให้เขามองเห็นแสงสว่างในท้ายที่สุด คนสุดท้ายคือ "เปเป้" ที่มีมาร์โก้เป็นฮีโร่ในใจและเกิดมาเพื่อชนะแต่เขาก็ได้เรียนรู้ว่าชัยชนะของทีมสำคัญกว่าชัยชนะของเขาเอง เรื่องยังเล่าผ่านมุมมองจากจุดเล็กๆ ของ "ฮิคารุ" สาวน้อยผู้ช่วยในทีมซึ่งอยากมีส่วนร่วมในความสำเร็จด้วยการดูแลนักกีฬาอย่างเต็มที่ กับน้องชายของฮิคารุที่เฝ้ามองเหล่านักแข่งด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยความชื่นชม ทุกส่วนเล่าได้สมดุลทั้งสุข โศก ตลก และซาบซึ้งจนดูซ้ำได้หลายๆ รอบไม่มีเบื่อ เรียกว่าเป็นผลงานที่ดีสมกับรางวัลที่ได้รับเลยล่ะค่ะ

สัปดาห์หน้ามาทำความรู้จักผู้กำกับฯ "โคซากะ คิทาโร่" สักนิดว่าเขามีแนวคิดอย่างไรในการสร้างผลงานแอนิเมชั่นของตัวเองและอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จ งวดหน้าค่ะ

วันที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11474 มติชนรายวัน

ไม่มีความคิดเห็น: