22 มิถุนายน 2551

The Top Secret เมื่อความลับไม่มีในโลก


คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน
โดย วินิทรา นวลละออง

บางทีดินแดนที่เป็นอิสระที่สุดในจักรวาลคือภายใน "สมอง" ของเราเองค่ะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างสามารถจินตนาการได้ภายในสมองของเรา ไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดีล้วนเกิดจากความคิดของเราเองทั้งสิ้น ซึ่งเป็นที่ทราบดีกว่าความคิดเกิดขึ้นจากการทำงานอันซับซ้อนของเซลล์สมองและสารสื่อประสาทมากมายที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดค่ะ

มีความพยายามจะอ่านสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุดในสมองของเรามาแต่โบราณแล้ว ที่ทันสมัยที่สุดเห็นจะเป็นแนวคิดในการสะกดจิตเพื่อดึงสิ่งที่หลบในจิตใต้สำนึกออกมา แต่อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราไม่ต้องสะกดจิตกันอีกต่อไป แต่เราสามารถมองเห็นภาพที่คนๆ หนึ่งเห็นได้โดยฉายจากสมองโดยตรงเลย สิ่งที่เราคิดว่าจะเป็นความลับตลอดกาลเมื่อเราตายไปกลับถูกคนอื่นฉายภาพออกมาจากสมองโดยตรงหลังจากเราตายแล้ว โอ้...แย่สิคะเนี่ย

The Top Secret คืองานที่ทำให้เริ่มเสียวว่าความลับจะไม่มีในโลกอีกแล้วค่ะ เล่มนี้คือผลงานใหม่ของ อ.ชิมิสึ เรย์โกะ นักวาดการ์ตูนผู้หญิงที่โด่งดังมาตั้งแต่สมัยยุค 70 ผลงานส่วนใหญ่ของอาจารย์เป็นแนววิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่งเลยค่ะ โดยเป็นแนวเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของไซไฟในการ์ตูนผู้หญิงยุค 70 นั่นคือมีการผนวกแนวคิดด้านจิตวิทยากับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ขึ้น จนเกิดเป็นภัยพิบัติแบบใหม่ที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน

เรื่องนี้เขียนต่อจากเรื่องสั้นที่เขียนไว้เมื่อปี 1999 ซึ่งเป็นเรื่องต้นแบบ The Top Secret ใหม่นี้คือตอนที่เขียนขึ้นเมื่อปี 2001 ค่ะ

"อาโอกิ" ชายหนุ่มซื่อๆ ได้รับการบรรจุในหน่วยนิติเวช 9 ซึ่งสืบสวนคดียากๆ จากการดูสมองผ่านเครื่อง MRI เครื่องฉายภาพที่เจ้าของสมองมองเห็นก่อนเสียชีวิตย้อนหลังได้หลายปี (คนละเครื่องกับ MRI ของจริงนะคะ) หัวหน้าหน่วยของเขากลับเป็นเด็กหนุ่มหน้าใส "มากิ" ซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวหลังได้ดูสมองของฆาตกรวิปริตที่ฆ่าเด็กหนุ่ม 28 คนด้วยการชำแหละเป็นชิ้นๆ

ครั้งนี้เกิดคดีฆ่าตัวตายพร้อมกัน 9 คน โดยทุกคนเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งออกจากสถานกักกัน ภาพที่ทุกคนเห็นก่อนตายคือสิ่งที่ตนเองกลัวที่สุดวิ่งไล่ตามมาหลอกหลอน จนในที่สุดพวกเขาก็ฆ่าตัวตายเพื่อหนีสิ่งน่ากลัวที่แม้ตาเห็นแต่ไม่มีจริง มากิตามสืบมาได้จนเขาพบว่าเด็กหนุ่มทุกคนเคยพบกับฆาตกร 28 ศพที่มากิหวาดกลัวที่สุดมาก่อน เขาแทบคลั่งจนทำคดีต่อไม่ได้เลยค่ะ

ด้วยความอยากรู้ อาโอกิจึงไปดู MRI สมองเพื่อนร่วมงานของมากิที่เสียชีวิตหลังจากได้ดูสมองของฆาตกร 28 ศพ ทำให้เขาได้เห็นภาพที่ฆาตกรกำลังฆ่าเหยื่ออย่างโหดร้ายด้วย ภาพเหล่านั้นน่ากลัวจนอาโอกิเกือบตายเหมือนกัน

สิ่งที่อ่านแล้วคิดไปด้วยคือคุณฆาตกร 28 ศพเขาเป็น "โรคจิตเภท" (Schizophrenia) แหงๆ แต่ใช่ว่าผู้ป่วยโรคจิตเภททุกคนเป็นฆาตกรได้นะคะ โรคนี้ก็มีระดับความรุนแรงอยู่เหมือนกัน โชคดีที่ปัจจุบันมียาดีอยู่มาก คนที่ป่วยรุนแรงแบบคุณฆาตกร 28 ศพไม่ค่อยมีแล้วล่ะค่ะ คนเมายาบ้าหรือเมาเหล้ายังน่ากลัวกว่าเยอะเลย

ผู้ป่วยโรคจิตที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมมักจะมีความคิดหลายอย่างที่คนทั่วไปคาดไม่ถึง เขาอาจทำหลายอย่างที่คนปกติไม่สามารถทำได้ เช่น ฆ่าตัวตายหรือทำร้ายผู้อื่น ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง A Beautiful Mind ที่ได้รางวัลเพียบในปี 2001 (ปีเดียวกับที่เรื่องนี้เขียนขึ้นพอดี) คงจะทราบว่าพระเอกของเรื่องที่ป่วยเป็น Schizophrenia มองเห็นโลกต่างจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง โลกของเขามีแต่ความน่าหวาดกลัว ดังนั้นคนป่วยโรคนี้คือคนที่น่าเห็นใจอย่างที่สุดค่ะ เพราะเขาไม่สามารถมองเห็นความสดใสของโลกได้เลย (ตราบใดที่ยังไม่ยอมรักษา) "สมอง" ของเขาไม่ใช่ดินแดนอิสระอีกต่อไป กลายเป็นดินแดนที่น่ากลัวเหมือนนรกเลยล่ะค่ะ

แต่ผู้ป่วยโรคจิตไม่ใช่คนน่ากลัวเสียทุกคนนะคะ ถ้าเขาได้รับการรักษาแล้ว เขาก็เหมือนคนเราทั่วไปนี่เอง การรักษาจะช่วยดึงเขาให้กลับมามองเห็นโลกอย่างสดใสได้เหมือนคนทั่วไปค่ะ ดังนั้นมากิคงไม่ต้องเสียเพื่อนไปหลายคนถ้าเจอฆาตกร 28 ศพแล้วพาเขาไปพบจิตแพทย์เสียก่อน

ตอนเขียนคอลัมน์นี้ก็ชั่งใจอยู่เหมือนกันว่าคนทั่วไปจะยิ่งกลัวผู้ป่วยโรคจิตมากขึ้นหรือเปล่าเนี่ย ก็เลยหันมาถามตัวเอง (ในฐานะจิตแพทย์คนหนึ่ง) ว่าเคยกลัวคนไข้กลุ่มนี้ไหม คิดแล้วก็ยิ้มออกมาค่ะว่าไม่กลัวเลยนี่นา แต่ละวันพบตั้งหลายคน น่ารักทุกคนทั้งนั้น

แต่ถ้ามีคนถามว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้จะลุกขึ้นมาทำอันตรายคนอื่นหรือเปล่า คำตอบคือเคยเห็นคนเมายาบ้าตาขวางๆ ไหมคะ หรือคนเมาเหล้าแล้วอาละวาด ถ้าเห็นคนแบบนี้เราก็ต้องเผ่นก่อนล่ะค่ะ เพราะแยกยากเหลือเกินว่าเขาเมายาหรือป่วยเป็นโรคจิตรุนแรงที่ไม่ได้รับการรักษากันแน่ น่ากลัวประมาณกันเลยค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: